เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ (Cookies) เพื่อวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและ ยินยอมการจัดเก็บคุกกี้ดังกล่าว โดยท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน นโยบายคุกกี้ และ นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ของบริษัทฯ
29 สิงหาคม 2562

ทริคการดูแลรถฉบับกุลสตรี

75
3,347
สวยสตรองในแบบฉบับกุลสตรียุคใหม่ เก่งอย่างเดียวไม่พอนะคะ ! เราต้องดูแลตัวเองได้ด้วย โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ขับรถ ขับเป็นก็ต้องดูแลรถด้วยตัวเองเป็นด้วย เพราะยิ่งหน้าฝนอย่างนี้ ยิ่งต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยกันเป็นพิเศษ
วันนี้  ไอไดเร็คท์ จึงนำความรู้ดี ๆ ว่าไอเทมไหนต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษช่วงหน้าฝนมาฝากคุณสาว ๆ โดยเฉพาะค่ะ

02(2)

1. ยางรถยนต์ 
 
ยางรถยนต์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเป็นอย่างมาก หากยางอยู่ในสภาพไม่ดี ลมยางอ่อนเกินไป เร่งรถแล้วจะหนืด อัตราเร่งไม่ดี เพราะยางจะย้วยจึงหมุนยาก แต่รู้สึกว่าเกาะถนนเพราะมีหน้าสัมผัสเต็มที่  ส่วนลมยางที่แข็งเกินไป ก็จะง่ายต่อการระเบิดและไม่เกาะถนน เราจึงควรหมั่นเช็คลมยางให้อยู่ในสภาพปกติเสมอค่ะ สำหรับการเติมลมยางในค่าที่เหมาะสมก็สามารถดูได้จากคู่มือประจำรถ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์จะแนะนำค่ามาตรฐานที่เหมาะสม ตามแต่สเปคของรถแต่ละรุ่นที่กำหนด


อัตราเติมลมยางรถยนต์โดยทั่วไป
 
รถเก๋งขนาดเล็ก เติมลมที่ 25-30 ปอนด์ (PSI)
รถเก๋งขนาดกลาง เติมลมที่ 30-35 ปอนด์ (PSI)
รถกระบะ (ไม่บรรทุก) เติมลมที่ ไม่เกิน 65 ปอนด์ (PSI)
 
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบดอกยางว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ อายุการใช้งานของยางรถยนต์ไม่ควรเกิน 5 ปีจากปีที่ผลิตซึ่งสามารถดูปีที่ผลิตได้จากด้านข้างของยางค่ะ  หากตรวจเช็คสภาพยาง แล้วพบว่าดอกยางมีความลึกต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร  เนื้อยางแข็งกระด้างเอาเล็บจิกไม่เข้า ก็ควรรีบเปลี่ยนทันทีนะคะ ดอกยางที่เสื่อมแล้วจะรีดน้ำได้น้อยลง ทำให้รถเสียหลักได้ง่าย จนนำไปสู่อุบัติเหตุที่รุนแรงได้ค่ะ

03(2)

2. ที่ปัดน้ำฝน
 
อุปกรณ์อันเล็กที่มักถูกมองข้ามในหน้าร้อน แต่เป็นพระเอกในหน้าฝน เพราะช่วยให้การมองเห็นในขณะขับรถดีขึ้นในเวลาที่ฝนตก โดยยางปัดน้ำฝนที่เสื่อม เวลาที่ปัดก็จะมีเสียงดังครืดคราด และเมื่อปัดแล้วจะมีคราบน้ำเป็นเส้นเนื่องจากรีดน้ำบนกระจกออกไม่หมด ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดีพอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก ทำให้ไม่สามารถเห็นสิ่งกีดขวางบนท้องถนนในระยะไกลได้ซึ่งอันตรายมาก  ดังนั้นเราควรตรวจสอบและดูแลใบปัดน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ โดยหากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดด เพราะแดดจะทำให้ยางของที่ปัดน้ำฝนเสื่อมเร็วและแข็งตัวได้มากกว่าปกตินอกจากนี้เราควรทำความสะอาดใบปัดน้ำฝนบ้าง โดยใช้ผ้านุ่มชุบน้ำบิดให้หมาด แล้วเช็ดไปตามความยาวของใบปัดน้ำฝน ห้ามยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นนะคะ เพราะจะทำให้สปริงของก้านปัดน้ำฝนเสื่อมเร็วขึ้นค่ะ

04(1)

3. น้ำยาฉีดกระจก
 
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องการการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอในหน้าฝนนะคะ เพราะตอนที่ฝนตกแบบไม่หนักมากแล้วกระจกหน้ารถเรามีฝุ่น ทันทีที่เราเปิดที่ปัดน้ำฝน ก็จะกลายเป็นยิ่งปัดกระจกหน้ารถก็ยิ่งเปรอะ มัวหมองยิ่งขึ้นไปกันใหญ่ จึงจำเป็นต้องใช้น้ำยาฉีดกระจกเพื่อช่วยล้างทำความสะอาดกระจกหน้ารถในขณะที่เราขับรถอยู่ ซึ่งวิธีการดูแลก็ง่าย ๆ เลยค่ะ แค่เปิดฝากระโปรงหน้ารถดูระดับน้ำยาฉีดกระจกไม่ให้พร่องจนเหลือน้อยจนเกินไป เติมน้ำยาให้พร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอค่ะ

05(1)

4. ระบบเบรก
 
ระบบเบรกเป็นเรื่องสำคัญต่อความปลอดภัยในการขับขี่โดยตรง โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ยิ่งต้องใส่ใจและหมั่นสังเกตเป็นพิเศษนะคะ  โดยระบบเบรกในรถยนต์ มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ ดรัมเบรก (ใช้ในรถบรรทุก และรถยนต์เก่าบางรุ่น)  และดิสก์เบรก ซึ่งเป็นระบบเบรกที่นิยมใช้กันอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในรถเก๋งและรถกระบะ การติดตั้งจะมีทั้งติดตั้งแบบ 4 ล้อ หรือติดเฉพาะล้อคู่หน้า  จุดเด่นของเบรกรุ่นใหม่ก็คือ สามารถระบายความร้อนได้ดีกว่าดรัมเบรก
การดูแลระบบเบรกรถยนต์เพื่อให้เบรกทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพน้ำมันเบรก ควรเปลี่ยนถ่ายตามกำหนดหรือควรจะเปลี่ยนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร ถึงแม้ว่าจะไม่มีการรั่วซึมของของเหลวหรือการลดละดับลงมาก็ตาม  และที่สำคัญจะต้องให้ความใส่ใจกับการเลือกน้ำมันเบรกที่ใช้ให้ตรงกับมาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนดเอาไว้

-  ข้อควรระวังในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก เมื่อน้ำมันเบรกมีการหกหรือหยดใส่ให้รีบน้ำผ้ามาเช็ดให้แห้ง เพราะการปล่อยทิ้งเอาไว้จะทำให้สีรถยนต์ถลอกได้
-  ผ้าเบรก โดยทั่วไปผ้าเบรกควรเปลี่ยนที่ระยะ 50,000 กิโลเมตร แต่กรณีที่เบรกบ่อย ขับรถในเมืองรถติด ๆ ผ้าเบรกก็อาจสึกไวขึ้น โดยให้สังเกตตอนเหยียบเบรกว่าต้องเหยียบจมลึกกว่าปกติหรือไม่ แล้วในขณะขับเข้าโค้งหรือขณะวนกลับรถที่ต้องเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วไปด้วย จังหวะนั้นมีเสียง “เอี๊ยด” ดังผิดปกติจนสังเกตได้ชัดเจนหรือไม่

นอกจากนี้ ก็ให้สังเกตตอนที่เราเบรกว่ารถมีการดึงที่ล้อหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งหรือเปล่า เรื่องของระบบเบรกจึงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความใส่ใจและการสังเกตโดยตรงค่ะ หากรู้สึกได้ถึงอาการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ควรนำรถเข้าศูนย์หรือร้านเปลี่ยนผ้าเบรกเพื่อตรวจเช็คและเปลี่ยนผ้าเบรกให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ เพราะการปล่อยให้ผ้าเบรกหมดอายุหรือผ้าเบรกอยู่ในระดับที่บางมาก จะทำให้จานเบรกเกิดรอยขูดหรือการขับขี่รถยนต์ในขณะที่จานเบรกร้อน ซึ่งส่งผลให้จานเบรกคดงอ หรือเกิดการบิดตัวขึ้นได้ ถึงขั้นอาจต้องเสียเงินหนักกว่าเก่าเพื่อเปลี่ยนจานเบรกใหม่เลยค่ะ   

06(1)

5. น้ำมันเครื่อง
 
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามรอบระยะเวลาหรือระยะทางเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ดีของเครื่องยนต์ได้ เพราะจะช่วยให้รถประ
หยัดน้ำมันและช่วยให้เครื่องสะอาด สตาร์ทติดง่าย อีกทั้งเป็นการถนอมเครื่องให้มีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้นค่ะ ซึ่งเรื่องนี้คุณสาว ๆ ไม่ต้องทำอะไรมากเลยนะคะ เพียงแค่หมั่นดูเลขไมล์ที่หน้าปัดว่าครบตามกำหนดที่ศูนย์หรืออู่นัดแล้วหรือยัง ถ้าถึงกำหนดแล้วก็นำรถเข้าศูนย์ อู่ หรือปั๊มน้ำมันที่มีบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก็ได้ ซึ่งโดยปกติหากนำรถเข้าศูนย์หรืออู่เจ้าประจำตามรอบ ทางศูนย์หรืออู่ก็จะต้องมีตรวจเช็คและเปลี่ยนอะไหล่ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนตามระยะด้วย อาทิ ไส้กรองอากาศ ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเกียร์ หัวเทียน เป็นต้น รวมทั้งบริการตรวจสอบสภาพของผ้าเบรก แบตเตอรี่ หลอดไฟ ฯลฯ ไปในตัวด้วย ดังนั้น การหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามรอบ จึงเป็นการตรวจเช็คสภาพทั่วไปของรถด้วยเสมอค่ะ

07(1)

6. สัญญาณไฟทุกดวง
 
ควรหมั่นตรวจสอบสัญญาณไฟทุกดวงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่มีหลอดใดหลอดหนึ่งขาด ไม่ว่าจะเป็นไฟเลี้ยว ไฟหน้า ไฟสูง ไฟเบรก เพราะช่วงหน้าฝน ในขณะที่ฝนตกทัศนวิสัยการขับขี่ก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วนะคะ หากไฟเหล่านี้ไม่ติด ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นไปอีก ขอย้ำนะคะ อันตรายมาก ๆ เรื่องไฟเบรกขาด

ทั้ง 6 ไอเทมนี้ ไม่เกินความสามารถของสาว ๆ อย่างเราแน่นอนค่ะ !

และนอกจากนี้ การขับขี่ช่วงหน้าฝนควรขับด้วยอัตราความเร็วที่ควบคุมได้ เพราะช่วงที่ฝนตก ถนนจะลื่น การหยุดรถต้องใช้ระยะทางมากขึ้น หากใช้ความเร็วสูง จะไม่สามารถหยุดรถได้ทัน และรถอาจจะลื่นไถลไปไกล เราจังควรขับรถด้วยความเร็วที่ตนเองควบคุมได้ ความเร็วที่แนะนำ คือไม่ควรเกิน 60 กม./ชม.นะคะ อีกทั้งช่วงที่ฝนตกใหม่ ๆ ถนนจะลื่นกว่าปกติ เพราะน้ำฝนจะไปล้างฝุ่นละอองบนถนน การหยุดรถจึงจะต้องใช้ระยะเบรกมากกว่าการขับรถในสภาพที่มีถนนแห้ง เราจึงควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าการขับรถในช่วงเวลาปกติ กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้หยุดรถได้อย่างปลอดภัยค่ะ

และเพื่อความไม่ประมาท อย่าลืมบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของช่างประจำหรือศูนย์ให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ ไว้ เพื่อที่เวลารถมีปัญหา จะได้โทรแจ้งขอความช่วยเหลือได้ รวมถึงเบอร์โทรฉุกเฉินสำหรับขอความช่วยเหลือเมื่อรถเสียของโครงการพระราชดำริ โทร.1197 ด้วยนะคะ
 
แบ่งปันบทความนี้ไปยัง